ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย
“กะทิ” เป็นแหล่งที่มาของ “น้ำมันมะพร้าว” ซึ่งในปัจจุบันกำลังเป็นที่นิยมของคนไทย เพราะเป็นที่ประจักษ์ แล้วว่า
“น้ำมันมะพร้าว” เป็นน้ำมันที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม เนื่องจาก “กะทิ” เป็นสารตัวเดียวกันกับ “น้ำมันมะพร้าว”
ดังนั้นข้อดีต่างๆ ของ “กะทิ” ก็คือ ข้อดีของ “น้ำมันมะพร้าว” นั่นเอง ซึ่งได้แก่
- คือ ไม่เกิดการเติมออกซิเจนและไฮโดรเจน จึงทำให้ไม่เกิดอนุมูลอิสระ และไม่เกิดไขมันทรานส์ ที่เป็นอันตราย
ต่อสุขภาพ เพราะย่อยสลายได้ยากและทำให้เพิ่มคลอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือด ซึ่งมักเกิดจากอาหารที่
ใช้น้ำมันพืชในการทอดเป็นเวลานาน
- เมื่อบริโภค “กะทิ” แล้วลงไปสู่กระเพาะเข้าสู่ลำไส้ จะถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานในตับ โดยไม่สะสมเป็นไขมัน
เหมือนกับน้ำมันไม่อิ่มตัวที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ และผู้บริโภค ”กะทิ” จะได้พลังงานทันที ผู้บริโภคจึงแข็งแรง
- ก่อให้เกิดความร้อน Thermogenesis ซึ่งช่วยในการเผาผลาญอาหาร ให้เปลี่ยนเป็นพลังงาน แทนที่จะไปสะสม
เป็นไขมันในร่างกาย ยิ่งกว่านั้นความร้อนที่เกิดขึ้น ยังไปช่วยสลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ก่อนหน้านั้น จึงทำให้
ผู้บริโภคผอมลงคำดังกล่าวที่ว่า Eat Fat Look Thin และนี่เองเป็นเหตุให้คนไทยสมัยโบราณไม่ค่อยมีใครอ้วน
- ในน้ำมันมะพร้าวมี กรดลอริก ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับกรดไขมันที่มีในน้ำนมของมารดา (มีเพียง3-18%)
เมื่อบริโภคเข้าไปแล้ว กรดลอริก จะเปลี่ยนเป็น โมโนลอริน ที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันและยังมีฤทธิ์ช่วยยับยั้งเชื้อโรค ไม่
ว่าจะเป็นแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส หรือโปรโตซัว และกรดลอริกนั้นยังสามารถฆ่าเฉพาะเชื้อโรคที่มีเกราะหุ้มเป็น
ไขมันแต่ไม่ทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ที่มีอยู่ในร่างกายที่ไม่ได้มีไขมันเป็นเกราะหุ้ม
- ใน “กะทิ” มีแอนติอ็อกซิแดนซ์ (antioxdant) ประกอบด้วย วิตามินอี สารฟีนอล และสารไฟโตสเตอรอล
ที่ช่วยต่อต้านการเติมออกซิเจนของส่วนที่เป็นน้ำมันไม่อิ่มตัว
ขอขอบคุณข้อมูลทางวิชาการ จาก : ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนาน้ำมันมะพร้าวแห่งประเทศไทย